2020 เป็นปีที่เรียกได้ว่าหนักและท้าทายสำหรับคนที่ทำธุรกิจที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้ (นี่เพิ่งผ่านมา 3 เดือนจริงหรอ) และการจะผ่านวิกฤติ COVID19 ที่เรากำลังเจออยู่นี้ไปได้ จำเป็นต้องอาศัยสติ วิธีคิด กลยุทธ์ และการลงมือทำอย่างรัดกุม ผมหวังว่าในบทความนี้คุณจะได้แนวคิดที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตินี้ไปด้วยกันครับ
วิธีคิดคือหนึ่งในสิ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่ หรือคนที่ผ่านวิกฤติไปได้กับคนที่ไม่ผ่านเช่นเดียวกัน ซึ่งเวลาเรามองวิธีคิดที่ดีนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการคิดแบบ Inside out หรือการเริ่มต้นจากภายในสู่ภายนอก
เช่น ถ้ามีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับเรา เราจะมองในสิ่งที่ควบคุมได้ก่อนเสมอ นั่นคือตัวเรา โดยไม่โทษองค์ประกอบภายนอก และปรับแก้ไขสิ่งที่เกิดให้ดีขึ้นจากตัวเราเอง
ในทางเดียวกัน เมื่อมีวิกฤติเกิดขึ้น เราจะไม่เสียเวลามานั่งโทษสถานการณ์ต่างๆที่แย่และควบคุมไม่ได้ แต่จะเริ่มปรับจากตัวเราว่า มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทำให้สถานการณ์ที่กำลังเจออยู่นั้นดีขึ้นได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
แต่การจะคิดแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจำเป็นต้องมองข้ามอัตตาหรืออีโก้ในความเป็นตัวเราออกไปมาก มองภาพที่ใหญ่กว่าตัวเราเองเสมอ ถึงจะมองออกว่ามันยังมีอีกหลายทางที่สามารถทำได้ และอดทนสู้ไม่ยอมแพ้ ไม่ล้มเลิกไป
ถ้าวันนี้ยังคงรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจกับสถานการณ์ที่เจออยู่ ผมแนะนำให้ลองไปดูหนังเรื่อง Joy
เป็นหนึ่งในหนังที่เวลาเจอเรื่องยากๆในการทำธุรกิจสำหรับผม จะชอบเปิดดูเพื่อให้กำลังใจกับตัวเองและฮึดสู้กับสิ่งที่เจอในวันนี้ เพราะจริงๆแล้วมันอาจเป็นแค่บททดสอบหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ เพื่อไปสู่จุดที่ดีกว่า
เมื่อไรที่เรามีวิกฤติเกิดขึ้นนั่นแปลว่า ความคิดและการกระทำชุดเดิมของเราอาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป จำเป็นต้องหนีออกจากกรอบความคิดเดิมๆ ธุรกิจเดิมที่พึ่งพาออฟไลน์ต้องมาออนไลน์แบบเต็มตัว หรือธุรกิจที่ออนไลน์อยู่แล้วอาจต้องออนไลน์มากกว่าเดิมด้วยการทำงานกับคนที่เชี่ยวชาญในต่างประเทศเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจใหม่ๆให้เกิดขึ้น
โดยสิ่งที่เราต้องเริ่มประเมินเพื่อให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้
สิ่งสำคัญสำหรับข้อที่ 1 คือ โครงสร้างของบริษัทต้องทำงานบนออนไลน์ได้ (อาจไม่ 100% แต่ควรทำงานได้)
นี่คือตัวช่วยในการทดลองนำไปใช้เพื่อให้ธรุกิจอยู่บนโครงสร้างออนไลน์มากขึ้น
โฟกัสที่การอยู่รอดมากกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดทุนระยะสั้น ด้วยการลงทุนกับคนและเทคโนโลยีที่จำเป็น
คู่ค้าทางธุรกิจจะช่วยให้เกิดโอกาสใหม่ๆที่เราคาดไม่ถึง การรวมตัวทางการค้าเพื่อให้รอดพ้นวิกฤติจะเกิดขึ้นได้ เราอาจต้องเป็นคนเริ่มต้นเข้าหากับคู่ค้า เพื่อยื่นข้อเสนอหรือโยนไอเดียหาโอกาสใหม่ๆร่วมกัน คุณสามารถเริ่มต้นได้ดังนี้
การทำ Partnership ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น แต่ละบริษัทก็มีแนวทางที่แตกต่างกัน สำหรับบริษัทผมเอง จะเน้นแนวทางการร่วมมือกันดังนี้
โฟกัสที่การลดต้นทุนในการหาลูกค้า หรือหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
การรักษาสภาพคล่องหรือกระแสเงินสดให้ได้ จะช่วยให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้ พูดง่ายแต่ทำได้ยากมาก เพราะเรากำลังเข้าสู่สภาวะเงินฝืด การซื้อขายที่ต่ำลงกว่าเดิมมาก ผู้คนจับจ่ายแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่มีเงินเหลือมากพอสำหรับสถานการณ์แบบนี้ และเริ่มต้นซื้อสิ่งต่างๆในราคาที่พวกเขาสามารถต่อรองได้อย่างเต็มที่
ในมุมของธุรกิจเอง หากเป็นธุรกิจประเภทที่มีสต็อกสินค้าเยอะ วิธีนี้อาจช่วยคุณได้
โฟกัสหลัก คือ การทำให้สายป่านธุรกิจยาวขึ้นและมีข้อมูลของลูกค้าในมือเพื่อใช้ในการขายซ้ำ
หากธุรกิจของคุณนั้นกู้อยู่แล้ว ให้ทำการขอผ่อนผันหรือคุยกับธนาคารเพื่อสิทธิประโยชน์ต่างๆในการยืดเวลาการชำระออกไปให้ได้นานที่สุด และถ้าธุรกิจของคุณยังสามารถกู้ได้ นี่คือช่วงที่ดีที่สามารถขอกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ (ถ้าผ่าน)
แต่การกู้ครั้งนี้ อยากให้รัดกุมในการใช้ จำเป็นต้องมีแผนการตลาดอย่างละเอียดเพื่อใช้ในการทำงาน
ทุกวิกฤติมีโอกาส และคนที่มองเห็น ส่วนใหญ่แล้วคือคนที่อยู่กับปัญหานั้นๆนานที่สุด ถ้าคุณกู้ได้ นี่คือเงินที่ควรนำมาใช้กับโอกาสในตอนนี้ แต่ถ้ายังไม่เห็นโอกาส ก็อย่าเอาไปต่อสายป่านให้กับสิ่งที่ไม่ช่วยให้รอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้
ถ้าบริษัทสามารถให้พนักงาน Work from home ได้ ควรเริ่มทำด้วยเหตุผล...
อยากให้มองการทำงานแบบ Work from home เป็นการเริ่มต้นสร้างระบบวัดผลผ่านเนื้องานมากขึ้น และเปิดโอกาสในการใช้เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การสร้างสรรค์ และการเติบโต
โดยบริษัทของผมใช้เครื่องมือและวิธีการทำงาน WFH ดังนี้ครับ
ซึ่งปกติการทำงานของเราจะทำโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว แค่ไม่ได้ทำงานที่บ้าน จึงมีการปรับตัวไม่เยอะมาก
ในขั้นตอนนี้สิ่งที่โฟกัส คือ การทำงานร่วมกันกับทีมที่สามารถทำที่ไหนและเมื่อไรก็ได้(เน้นการสื่อสาร) โดยยังทำให้ธุรกิจนั้นเติบโต ต้องอาศัยใจของผู้บริหารในการรับความเสี่ยงนี้ เชื่อใจพนักงานของคุณ
6.Data-informed ใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
เพราะช่วงวิกฤติแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่มีข้อมูลไหนสามารถบอกได้ชัดเจนว่า ควรทำอย่างไรต่อไป ต้องประกอบกับสัญชาตญาณของคนที่มีอำนาจตัดสินใจในบริษัทในส่วนต่างๆด้วย ว่าจะไปในทิศทางไหน
โดยจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งออกเป็น
โฟกัสหลักคือการใกล้ชิดกับชุดข้อมูลสำคัญมากที่สุด เพื่อปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้เร็วและต่อเนื่อง อันไหนดีทำต่อ อันไหนพังให้หยุด การดูอย่างใกล้ชิดของผู้มีอำนาจตัดสินใจจะมีส่วนช่วยให้การทำงานต่างๆง่ายขึ้นมาก
จริงๆวิธีนี้อยากให้เป็นทางเลือกสุดท้าย หรือไม่ใช้เลย เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อผู้คนในองค์กร เป็นวิธีที่ง่ายและไม่รับผิดชอบต่อชีวิตคนที่เราได้เลือกเข้ามาเพื่อช่วยสร้างบริษัทให้เติบโต
ถ้าจำเป็นต้องทำ อยากให้คนที่เป็นผู้นำเป็นคนคุยกับคนที่ต้องการให้ออกให้มากที่สุด เพื่อจะได้เป็นบทเรียนสู่การทำบริษัทในอนาคตที่เราจะไม่นำคนเข้ามามากเกินความจำเป็นในตอนที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี
วิกฤติคือบททดสอบอย่างดีว่าที่ผ่านมาเราได้ทำธุรกิจอย่างรัดกุมมากน้อยขนาดไหน และเราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับใด ไม่มีกลยุทธ์ไหนถูกหรือผิด แค่ต้องนำไปทดลองใช้และให้ผลลัพธ์เป็นตัวชี้ว่าควรทำต่อไปหรือไม่
ผมขอเอาใจช่วยผู้ประกอบการทุกคน ให้ฝ่าวิกฤติ COVID19 นี้ไปด้วยกัน
และสำหรับใครที่ต้องการเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา ติดต่อได้ที่นี่เลยครับ
Happy Hacking
:)