คำว่า การเติบโต คงเป็นคำที่หลายๆคนเห็นกันจนเบื่อ อะไรๆก็ต้องมีแต่การเติบโต ทำไมเราจะอยู่เฉยๆอย่างเดียว ไม่ต้องการเติบโตได้ไหม? มันจำเป็นจริงหรือ..
หากย้อนกลับไปสมัยยุคอุตสาหกรรมหลังสงครามโลก ในช่วงนั้น ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร (ปัจจัย 4) ก็สามารถทำให้เติบโตได้ไม่ยาก เพราะการแข่งขันในตลาดไม่มากนัก แต่เมื่อดิจิทัลมาถึง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งเรื่องวิธีการคิด รูปแบบการแข่งขัน รวมถึงความเร็วในการเติบโต
หากต้องการจะเอาตัวรอดในยุคดิจิทัลนี้ให้ได้ การเติบโตเป็นสิ่งจำเป็น เราจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันในระดับบุคคล ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงาน ก็ต้องแข่งขันกับคนอื่นเพื่อความก้าวหน้าในสายงานตัวเอง หรือถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการก็ต้องแข่งขันกับธุรกิจคู่แข่งเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด
ในโลกทุนนิยมที่มีแต่การแข่งขัน หนึ่งคำถามสำคัญที่เราต้องคอยถามตัวเอง..
เราจะมีวิธีพัฒนาในแบบฉบับของตัวเองอย่างไรให้เท่าทันหรือล้ำหน้ากว่าคนอื่นอยู่เสมอ?
ชื่อขึ้นต้นนั้นบอกชัดเจนว่า Personal Growth ดังนั้นนี่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล การเดินทางของเราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน รวมไปถึงทักษะ ความสามารถ สังคมรอบข้าง ครอบครัว การถูกเลี้ยงดูมา สิ่งที่เราห้ามทำเลยในจุดนี้ คือการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราเติบโตมาในแบบฉบับของเราเอง ไม่มีใครที่ทำได้ดีกว่าเราในจุดนี้
จุดเริ่มต้นของการตรวจสอบตัวเอง คือ การที่เรารู้ก่อนว่าเราจะไปที่ไหน เปรียบเหมือนการเดินทางทุกครั้ง เช่น เราจะเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศส เราก็ต้องรู้ว่าจากจุดที่เราอยู่จะไปลงที่ส่วนไหนของฝรั่งเศสก่อนออกเดินทาง กับเส้นทางการเติบโตของเราก็เช่นกัน ต้องรู้ก่อนว่า เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร?
ยกตัวอย่างจากผมเองเพื่อให้คุณเห็นภาพมากขึ้น ในจุดเริ่มต้นของการสร้างธุรกิจ เป้าหมายตั้งต้นในตอนนั้นคือ อยากสร้างธุรกิจที่เกิดขึ้นจากคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ เป้าตั้งต้นเป็นเพียงตัวช่วยให้เราขยับออกจากจุดที่เราอยู่ได้เร็วขึ้น เมื่อเป้าหมายถูกสร้างขึ้นมาและคุณบรรลุเป้าหมายนั้นได้แล้ว ก็ค่อยสร้างเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นไป
เมื่อคุณได้เป้าหมายตั้งต้นแล้ว ให้กลับมาดูว่าจากเป้าหมายที่ตั้งไว้กับจุดที่คุณอยู่ตอนนี้ ห่างไกลกันแค่ไหน มีอะไรบ้างที่ขาดอยู่ และจะทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร วันนี้จึงอยากมาแชร์จากประสบการณ์จริงที่ใช้ในทุกๆวันครับ
ผมมองว่า 7 ขั้นตอนนี้คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้าง Personal Growth ในแบบฉบับที่รวดเร็ว(ของผมเอง) คุณอาจจะนำไปปรับแต่งใช้ต่อให้เหมาะกับตัวเอง หรืออยากลองนำไปใช้แบบเป๊ะๆทั้งหมดเลยก็ได้เช่นกัน
เมื่อคุณได้เป้าหมายที่ต้องการจะไปแล้ว สิ่งที่คุณควรทำคือการตั้งวิธีคิดให้ถูกต้อง หลายๆครั้งเวลาผมให้คำปรึกษา เกือบทุกคนจะคิดเริ่มต้นจากสิ่งที่พวกเขาจะ”ได้มา” แต่ผมอยากให้คุณมองย้อนกลับ เพราะมันคือเรื่องการ”ให้ไป” เรายอมเสียอะไรได้บ้างเพื่อให้ได้ซึ่งเป้าหมายที่ต้องการมา
เราต้องเสียสละเวลาที่เคยเอาไปเที่ยวเล่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่เจอกันน้อยลง เงินที่เคยได้มากกว่านี้ หรือแม้แต่สุขภาพที่แย่ลง เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ในการสร้างเป้าหมายให้เกิดขึ้นจริง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรคิดในจุดเริ่มต้นเลย เราพร้อมจะเสียสละอะไรบ้างและพร้อมจะเสียสละแค่ไหน เมื่อมีวิธีการคิดแบบนี้ คุณจะมองตามภาพความเป็นจริงที่ถูกต้อง เพราะการเติบโตที่ดีนั้นเกิดขึ้นจากความพยายามและทุ่มเทอยู่ตลอด มันไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย มันคือรากฐานที่ต้องสร้างให้มั่นคง มันคือกระบวนการคิดและนิสัยของคุณที่จะเปลี่ยนไป
ตัวอย่างของผมเองในจุดเริ่มต้น ผมบอกกับตัวเองว่า ผมยอมแลกได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถในการทำงานโลกดิจิทัล ยอมทิ้งเวลาที่เคยเที่ยวเล่นทั้งหมด แทบไม่ได้เจอเพื่อนเลย เงินที่ได้มาก็เอาไปซื้อคอร์สเรียนเพิ่ม หนังสือ หรือซื้ออุปกรณ์และซอฟต์แวร์ต่างๆที่จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น เวลานอนที่น้อยลงจากชั่วโมงการทำงานที่มากขึ้น เวลาทำงานช่วงแรกแบบทำติดๆกันหน้าคอมจะปวดหัวมากๆ เพราะข้อมูลเยอะเกินไป สิ่งที่ทำคือการพยายามฝืนกับอาการปวดหัวนั้น จนสุดท้ายร่างการสามารถทำงานหน้าคอมกี่ชั่วโมงติดต่อกันก็ได้โดยไม่ปวดหัวอีกต่อไป
ซึ่งพอคิดว่าเราต้องเสียสละมากเท่าไร แสดงว่าเราประเมินเป้าหมายของเราได้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือสิ่งที่เราไม่เคยทำ และเราต้องพยายามมากกว่าเราคนเดิมนั่นเอง
คำนิยาม เหมือนการออกแบบเลนส์แว่นของตัวเองที่เราไว้ใช้กำหนดว่าโลกที่เรามองในแบบฉบับของเราเป็นอย่างไร และจะไม่ให้ใครเข้ามามีส่วนในการว่าหรือตำหนิเราได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ใส่เลนส์ที่มองโลกในแบบเดียวกับเรา
“สิ่งที่พวกเขาพูด คือเรื่องจริงในแบบฉบับของเขา อย่าเอามาเป็นความจริงของเรา”
เราต้องเริ่มนิยามโลกการเติบโตของเราขึ้นมาก่อนเสมอ ไม่เช่นนั้น เราจะโดนคำพูดต่างๆนาๆจนกลายเป็นมุมมองของคนอื่นที่มีส่วนมาแทรกแซงความคิดและกระบวนการเติบโตของเรา ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
ยกตัวอย่างเช่น เรานิยามการเติบโตของตัวเอง ในแบบฉบับเติบโตช้าแต่มีความสุขในทุกๆวัน วางเป้าหมายไว้ไกลหน่อย (ใช้เวลาเยอะหน่อย) เน้นที่การให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมทาง การทำงานที่มีความหมาย การดูแลสุขภาพ การเติบโตเล็กๆในแต่ละวันที่จับต้องได้ เช่น คำชมจากเพื่อนรอบข้าง การช่วยเหลืองานคนอื่น การเลื่อนตำแหน่งในแต่ละปี หรือการทำธุรกิจที่โตปีละ 5-10%
เมื่อเรามีคำนิยามในแบบฉบับตัวเองว่า การเติบโตของคุณหน้าตาเป็นแบบนี้ เราก็จะรู้วิธีการที่คุณจะใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ชัดเจน
สิ่งสำคัญในขั้นนี้ คือ การสร้างความชัดเจนให้กับตัวเอง เมื่อมีคำพูดเรื่องการเติบโต เราจะนึกภาพที่คุณได้นิยามไว้อย่างชัดเจนนี้ ยิ่งชัดเจนเท่าไรในหัวคุณ มันยิ่งทำให้ภาพความจริงเป็นในแบบนั้นมากขึ้น
สถานที่แรกของนักประดิษฐ์นวัตกรรมทุกคนล้วนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เกิดขึ้นในหัวของพวกเขา สร้างซ้ำๆจนเป็นภาพออกมาชัดเจน สู่นวัตกรรมที่จับต้องได้ ซึ่งกระบวนการนี้ถูกนำมาใช้กับการสร้างการเติบโตของเราเองได้เช่นกัน
เมื่อเรามีเป้าหมายและคำนิยามการเติบโตของตัวเองที่ชัดเจนแล้ว ทีนี้ลองวาดเป็นแผนภาพออกมาว่าจากเป้าหมายปลายทางลากมาสู่จุดที่คุณอยู่ในปัจจุบัน เส้นทางนี้มันไกลแค่ไหน
เริ่มจากลากเส้นยาวๆ 1 เส้น ให้เราเริ่มเติมภาพคุณจากปลายทางว่าในจุดนั้นคุณเติบโตมาไกลแค่ไหน เช่น ตัวเราที่มีบริษัทของตัวเองขนาด 1,000 คน หรือ ตัวเราที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนๆในงานแต่งงานที่ทุกคนมีแต่ความสุข
จากปลายทางนั้น ให้เริ่มวาดภาพต่อลงมาเรื่อยๆ เราอาจจะได้ภาพจำนวนหลายร้อยภาพ แต่นั่นก็ควรค่าแก่เวลาที่เสียไปในการวาด เพราะมันคืออนาคตของเราเอง มันคือการเปลี่ยนภาพในหัวที่มันชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นภาพที่สามารถดูได้ทุกวัน
การวาดภาพจากปลายทางย้อนกลับมาจะทำให้เห็นภาพชัดว่า ในเส้นทางนี้ต้องผ่านอะไรบ้างถึงจะมาที่เป้าหมายปลายทางได้สำเร็จ มันต้องใช้แรง ใช้ความพยายามขนาดไหน
บางคนนั้นบอกกับผมว่า ไม่สามารถวาดออกมาได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่าเป้าหมายของตัวเองที่แท้จริงแล้วคืออะไร? การทำตามขั้นตอนนี้เป็นเรื่องยาก ผมบอกได้เลยว่าผมเองในจุดหนึ่งก็เป็นแบบเดียวกัน การที่เราจะรู้จักเป้าหมายของตัวเองได้อย่างชัดเจนนั้น ต้องผ่านการลองผิดลองถูกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อค้นหาว่าอะไรสิ่งที่ตัวเองให้ความสำคัญจริงๆ
และการวาดภาพในขั้นตอนนี้นั้นก็ไม่ใช่การวาดครั้งเดียวและจบไป เพราะในทุกๆขั้นของการเดินทางของคุณ ความคิดและสิ่งรอบข้างคุณนั้นจะเปลี่ยนอยู่ตลอด แน่นอนว่าคุณจะต้องกลับมาปรับภาพของคุณตามรูปแบบความคิดที่เปลี่ยนไปด้วย
สิ่งสำคัญของขั้นตอนนี้ คือ การที่คุณชัดเจนกับเส้นทางของตัวเอง จนสามารถสร้างออกมาเป็นภาพได้ และเป็นการสร้างกระบวนการทางความคิดของคุณว่า ถ้าอยากได้สิ่งใด ให้เริ่มจากการสร้างเป้าหมาย นิยามการเติบโต และร่างภาพจากปลายทางย้อนกลับมา
ในทุกๆขั้นของการพัฒนาตัวเองเรามักจะเจอคอขวดสำคัญที่ทำให้เราไปต่อได้อย่างไม่ราบรื่น การที่เราสามารถรู้จักคอขวดของตัวเองได้ก่อน จะทำให้เราเตรียมตัวได้ทัน และมีเวลาในการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ เพราะได้ถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว
คอขวด คือ จุดที่ทำให้การพัฒนาของเราถูกลดประสิทธิภาพลงลักษณะเหมือนคอขวดที่เล็กฟีบลงไป การที่เราเจอกับคอขวดแสดงว่า การจัดการของเรานั้นไม่ดีพอ เราต้องพยายามมองภาพในก้าวถัดๆไปให้ออกว่า อะไรจะเป็นคอขวดในเส้นทางการเติบโตของเรา
ตัวอย่างของผม ในการเจอกับคอขวด ในจุดเริ่มต้นของผมต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่มากในการทำให้เป็นคนที่สามารถทำงานหน้าคอมได้ตลอดเวลา เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ปัญหาต่อมาที่เจอคือ การพูดคุยกับคน เพราะเมื่อเราทำงานหน้าคอมมากๆ เราจะไม่อยากคุยกับใคร หรือมีปฏิสัมพันธ์อะไรเท่าไร
และผมรู้แน่ๆเลยว่า เป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่ดีกับธุรกิจอย่างแน่นอน เพราะผมต้องไปนำเสนองาน ขายงานลูกค้ากับพาร์ทเนอร์ หรือการไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ จุดต่อไปต้องใช้สกิลในการพูดมากกว่าการนั่งอยู่หน้าคอม (เพราะได้วาดภาพในข้อ 3 ไว้แล้ว)
ดังนั้นผมจึงต้องเพิ่มงานการพูดเข้าไปเพิ่มในชีวิตการทำงานปัจจุบัน โดยจะมีการจัดสอนงานให้น้องๆในทีมมากขึ้น การพูดอธิบายงานต่างๆให้มากขึ้น รวมถึงตอบรับงานที่เชื่อว่าตัวเองนั้นไม่มีทักษะในด้านนี้เลย นั่นคือ อาจารย์พิเศษสอนมหาลัย เป้าหมายเพื่อฝึกทักษะการพูดของตัวเอง
เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรคือคอขวดในจุดถัดไป ให้เรานำสิ่งนั้นมาเริ่มพัฒนาในทุกๆวัน เมื่อทักษะเราเพิ่มมากขึ้น พอถึงจุดที่เราคิดว่ามันเป็นคอขวดในตอนเริ่มต้น เราจะผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น
ไม่ว่าเป้าหมายคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ทุกอย่างล้วนเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆก่อนเสมอ ตัวอย่าง
เช่น คุณมีเป้าหมายที่จะเดินทางรอบโลก ในวันแรกคุณก็ต้องเริ่มจากการก้าวออกจากบ้านทีละก้าว หรือคุณจะมีเป้าหมายในการสร้างนวัตกรรมสุดล้ำ ในวันแรกก็เริ่มจากเพียงจับดินสอมาร่างลงในกระดาษ
สิ่งเล็กๆที่เราเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง เริ่มสร้างขึ้นมา มันจะเป็นจุดต่อยอดไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ เพียงแต่ปรับที่มุมมอง เพราะถ้าเรามองที่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เราตั้งไว้ และรู้สึกว่ามันทำได้ยาก เราจะพยายามเลื่อนมันออกไป เช่น ค่อยไปทำพรุ่งนี้ ค่อยไปทำเสาร์อาทิตย์
แต่เวลาของเราจริงๆนั้นมีเพียงแค่ตอนนี้! เวลาคือปัจจุบันที่ดำเนินต่อกันไปเรื่อยๆ เราต้องเริ่มต้นทำตอนนี้ โดยโฟกัสที่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆในชีวิตประจำวันของเราทีละนิด
ตัวอย่างเช่น ถ้าเป้าหมายเราคือการพัฒนาตัวเองในทุกวัน ให้ลองเริ่มต้นการจดบันทึกสิ่งที่ได้พัฒนาในแต่ละวันสั้นๆโดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีในการจดบันทึก เมื่อเราเริ่มบันทึกข้อมูลทุกวันเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง กระบวนการความคิดของเราในแต่ละวันจะเริ่มปรับตัว และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้ววันนี้เราพัฒนาตัวเองอะไรไปแล้วหรือยัง เพราะเราต้องจดบันทึก
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆแค่นี้ ช่วยให้ชีวิตผมพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะการจดบันทึกมันทำให้เรารู้ว่า การตื่นนอนในทุกวันต้องมีการพัฒนาตัวเอง เราในวันนี้ต้องดีกว่าเราในเมื่อวาน และเราต้องรู้ว่าเราดีกว่าอย่างไร ผ่านการจดบันทึกนี้
นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆให้คุณได้ลองนำไปใช้ คุณอาจจะปรับไปลองกับชีวิตคุณโดยวิธีการอื่นได้ เช่น การเริ่มต้นหันมาออกกำลังกายในทุกวันเพื่อดูแลสุขภาพ หรือการฝึกต่างๆ
สิ่งสำคัญของขั้นตอนนี้ คือ การฝึกนิสัยให้เหมาะต่อการเปลี่ยนแปลง และเชื่อว่าเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะในการเติบโต เราต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น ต้นไม้เติบโต กระถางที่ใส่ก็ต้องเปลี่ยน หรือตัวเราเติบโตทางกายภาพ เสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนอยู่ตลอด
กับการเติบโตในเส้นทางของคุณเอง คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด กระบวนการ สังคมรอบข้าง และสิ่งต่างๆมากมายที่ท้ายที่สุดเป็นคุณเองเป็นคนกำหนด
ถ้าคุณไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ในปัจจุบัน ลองเลิกโทษสิ่งรอบตัวภายนอก แต่หันมามองตัวคุณ และเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆทีละนิดในชีวิตประจำวันดูครับ
ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน เปรียบเหมือนรถสปอร์ตที่สามารถวิ่งได้ 300+ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าขาดซึ่งวินัย ก็เหมือนกับรถที่ขาดน้ำมัน ไม่สามารถวิ่งไปไหนได้ไกล และนั่นทำให้คุณไม่สามารถไปถึงเป้าหมายปลายทางที่ต้องการได้เลย
สิ่งสำคัญกว่าตัวรถ คือ รถที่มีน้ำมันอยู่ตลอด ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นรถอะไร แต่สำคัญว่าคุณยังขับไปต่อในเส้นทางที่ตั้งใจจะไปได้ตลอดทางหรือไม่ จะช้าจะเร็ว สุดท้ายถ้าขับไปยังไงก็ถึงเป้าหมาย
ดังนั้นข้อนี้จึงเป็นเหมือนข้อที่สำคัญที่สุดในการสร้างการเติบโตให้กับตัวเอง การได้ตื่นขึ้นมาในทุกๆวันเพื่อทำตามเป้าหมาย เรื่องง่ายๆที่ทำได้ยากมาก เพราะคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีวินัย 100% ขนาดนั้น เราอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า และทำให้เราไขว้เขวในสถานการณ์ต่างๆได้ง่าย
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า คนที่สามารถทำตามเป้าหมายได้ (หรือประสบความสำเร็จได้) จึงมีจำนวนเพียงไม่กี่ % ของโลกใบนี้ เพราะเป็นคนที่หนักแน่นในการกระทำของตัวเอง มีวินัย และเสียสละในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ต้องการ
ในการจะเริ่มสร้างวินัย สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ คือ การเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆเพิ่มในแต่ละวัน(ตามข้อ 5) และใช้ตัวช่วยเพื่อให้เราสามารถรักษาวินัยของตัวเองได้ดีขึ้น อย่างตัวผมเองจะใช้สมุดแพลนเนอร์ (Growth Planner) ในการช่วยจดบันทึกเป้าหมายรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ รวมถึงรายวัน
การจดบันทึกจะทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าตัวเราในแต่ละช่วงนั้นทำอะไรอยู่บ้าง ทำตามเป้าหมายได้ไหม หรือมีจุดไหนที่ควรพัฒนา แต่วิธีนี้จะเหมาะกับแค่คนบางประเภทเท่านั้นเพราะต้องเป็นคนที่ชอบในการจัดการตัวเอง และใช้ชีวิตค่อนข้างจริงจัง ซึ่งอาจทำให้เครียดได้ง่าย
คุณอาจจะหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อให้สามารถทำในสิ่งนั้นๆได้ในทุกวันแบบฉบับของคุณ คุณจะทำแบบไหนก็ได้ สิ่งสำคัญอย่างเดียว คือ ทำได้อย่างต่อเนื่อง
ใช่ครับ สิ่งที่ทำทุกวันต้องมีความสุขในระหว่างทางด้วย สิ่งที่ทำให้เข้าใจผิด คือ บางคนอาจคิดว่า คนประสบความสำเร็จต้องมองแต่ปลายทาง เชื่อไหมว่าพวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่พอกับสิ่งที่ทำได้ เพราะเมื่อบรรลุเป้า(ที่เรามองว่าใหญ่แล้ว) ความต้องการของคนถูกออกแบบมาให้ไม่มีความพอ พวกเขาย่อมไปต่อ สร้างเป้าหมายใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้เลยว่า มันไม่จบสิ้น
สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ระหว่างทาง เปรียบเหมือนกับการเดินทางที่ไกลมากๆ และมีจุดหมายย่อยๆระหว่างทาง ถ้าเราไม่มีความสุขในการเดินทางนี้ การจะเดินทางต่อไปจะกลายเป็นเรื่องที่ยากและหนักใจมาก
ทางที่ดีกว่าคือเราเลือกเส้นทางที่จะทำให้เรามีความสุขในทุกๆวันที่ได้ตื่นขึ้นมาทำ ความสุขไม่ใช่ปลายทางแต่คือระหว่างทาง ถ้าปรับวิธีคิดที่ถูกต้องแล้ว การใช้ชีวิตในการพัฒนาตัวเองให้เติบโตจะเป็นเรื่องที่ทำได้ดีและง่ายมากขึ้น
สิ่งที่ต้องระวังคือ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำสิ่งเดิมๆในทุกวันให้มีความสุขอยู่เสมอ สิ่งนี้ต้องอาศัยวิธีในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ มองสิ่งเดิมในมุมมองใหม่
แล้วเราจะทำยังไงให้สามารถมีความสุขได้มากกว่าเดิม?
ทริคเล็กๆที่คุณสามารถเอาไปปรับใช้ได้ (ในมุมมองของผมมันได้ผล) เมื่อไรที่คุณตั้งความหวังกับสิ่งใดไว้มากๆ ถ้าไม่ได้ดั่งใจ คุณจะทุกข์มากกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อไรที่เราพูดถึงความสุข มุมมองของเรามักจะคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่เพิ่มขึ้นมา
แต่พอมาลองทำดูจริงๆ มันกลับกัน กลายเป็นว่าพอเราลดบางอย่างออกไป ความสุขกลับเพิ่มขึ้นมามาก ไม่ว่าจะเป็นการลดความคาดหวังต่อสิ่งต่างๆหรือผู้คน ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจว่าทำไมคนนั้นไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ให้เราบ้าง หรือการลดการอยากมี อยากเป็นให้น้อยลง เราไม่จำเป็นต้องมีมากเท่าใคร แต่เราจำเป็นต้องมีความสุขที่มาจากใจที่มากกว่าคนอื่น
แล้วให้ลดแบบนี้มันจะเข้ากับเป้าหมายเราได้อย่างไร? เพราะเป้าหมายคือการทำเพื่อให้ได้มา จริงอยู่ครับถ้าเรามองในมุมมองของตัวเราเอง การตั้งเป้าหมายที่ทำให้เรามีความสุขได้ทุกวัน คือการลดการทำเพื่อตัวเอง และสร้างสิ่งที่มีคุณค่าต่อคนอื่น ช่วยผู้คนที่เขาไม่ได้มีโอกาสแบบเรา เพียงเท่านี้การเติบโตของเราก็มีความหมาย มีความสำคัญที่มากกว่าตัวเราที่เกิดมาและตายไปเพียงเท่านั้น
การสร้างการเติบโตในแบบฉบับของตัวเองเป็นเรื่องที่อธิบายได้ง่าย แต่ทำได้ยาก เพราะคุณต้องให้เวลาและโอกาสกับตัวเองได้ลองทำกับมันดูสักตั้ง สิ่งที่ผมยืนยันได้เลยคือมันจะคุ้มค่ากับทุกนาทีที่เสียไป คุณจะไม่เสียใจที่ได้ให้โอกาสตัวเองได้ลองเปลี่ยนแปลง และ 7 ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาเป็นเวลากว่าหลายปีที่คุณสามารถนำไปลองปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองได้เลย
ในทุกข้อทั้งหมด ผมคิดว่าข้อที่ควรให้ความสำคัญที่สุด คือข้อ 6 เพราะเป็นหัวใจของการพัฒนาตัวเองให้เติบโต การทำอย่างสม่ำเสมอ ต่อให้คุณเป็นคนที่ไม่เก่งในวันนี้ แต่คุณเป็นคนขยัน ผมเชื่อได้เลยว่า อนาคตของคุณไปไกลได้อย่างแน่นอนครับ
Happy Building
🔥