Growth Team

ทำไมนักศึกษาถึงควรเข้า Internship Program ก่อนเริ่มต้นทำงาน?

W. JAMES

ดับบลิวเจมส์ Growth Master Certified โดย Growthhackers.com คนแรกของประเทศไทย ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท W JAMES เคยเป็นวิทยากรให้กับ SCG, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, Sharing Citizen, Getlinks และ Thailand Startup Week

ทำไมนักศึกษาถึงควรเข้า Internship Program ก่อนเริ่มต้นทำงาน?

ที่นี่ WJV คือหนึ่งในบริษัทที่จริงจังเรื่อง Internship Program มากๆ เพราะมีถึง 2 จาก 4 โปรเจ็คที่เราลงทุนสร้างจาก 0 ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างทีมกับน้องๆฝึกงาน และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน 

และมี Project Manager ที่มาจากโครงการฝึกงานปี 2019 กับการมอบโอกาสจ้างงานน้องๆที่ยังเรียนอยู่ผ่านการทำงานพาร์ทไทม์ มากกว่านั้นยังมีผลงานของน้องๆที่ใช้วิชาจากในโครงการได้ถูกนำไปใช้จริง สร้างจริง พร้อมกับได้ผลลัพธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆเติบโตขึ้น

วันนี้พี่อยากจะมาแชร์มุมมองให้น้องๆที่กำลังสนใจ Internship Program ว่ามันจะช่วยให้เติบโตในเส้นทางอาชีพได้จริงไหม

ฝึกงานไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงฝึกงานเท่านั้น

และไม่จำเป็นต้องฝึกตรงสายกับที่เรียนมา แต่ให้เลือกฝึกในสายงานอนาคตที่น้องต้องการจะทำจริง 

*ถ้าน้องไม่มีความรู้ในสายงานนั้นเลย ควรทำการบ้านจากการเรียนผ่านออนไลน์มาก่อนหรือเตรียมตัวมาให้ดี เพราะการเรียนรู้จริงมักจะอยู่นอกห้องเรียน และบริษัทที่ดีส่วนใหญ่(ในมุมมองของพี่) ไม่สนใจในความรู้ของระบบการศึกษาปัจจุบัน

เดียวนี้มีหลายบริษัทที่เปิด Internship Program ตลอดปี แต่จะรับน้องๆเข้ามาในแต่ละช่วงจำนวนไม่มากนัก จึงแนะนำว่าถ้าสมัครในช่วงฝึกงาน การแข่งขันจะค่อนข้างสูง โอกาสก็จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วงอื่น

จำไว้ว่าการฝึกงานนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่น้องคิดจะสมัครแล้ว เพราะพี่ๆจะดูว่าน้องเตรียมตัวมาอย่างไร และทำการบ้านมามากน้อยแค่ไหน ถ้าน้องตั้งใจเตรียมตัวมาดี แน่นอนว่าโอกาสที่จะได้เข้าฝึกงานก็มีสูงมาก ยกตัวอย่างคำถามง่ายๆที่ไม่ควรพลาดเลย

  • รู้ไหมว่าบริษัทนี้ทำอะไรบ้าง? (ถ้าตอบว่าไม่รู้ ก็เตรียมกลับบ้านได้เลย)
  • ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับ [เรื่องในสายงานนั้น] ให้ฟังหน่อย
Company Dinner 2020 @AINU Bar Thonglor

ทำไมถึงต้องฝึกงาน รอจบมาก่อนค่อยไปสมัครงานจริงเลยดีกว่าไหม?

คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าน้องเอาอะไรเป็นที่ตั้ง ถ้าเอาผลตอบแทนเป็นที่ตั้ง ก็อาจจะคิดว่าการฝึกงานนั้นเป็นการเสียเวลา แต่ถ้าฉุกคิดสักนิดว่า ผลตอบแทนนั้นได้มาจากอะไร

“ความสามารถ” “ความรู้” “คอนเนคชั่น” ยิ่งมีสิ่งเหล่านี้มากเท่าไร ผลตอบแทนในอนาคตก็จะยิ่งได้สูงตาม น้องที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เท่านั้น ถึงมองว่าการฝึกงานเป็นสิ่งที่สำคัญกับอนาคตและทุ่มเทเวลาไปกับการสร้างมันขึ้นมาให้ได้จริง

แต่แน่นอนว่ามันไม่ง่ายที่จะพัฒนาทักษะที่ตัวเองสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ต้องมีตลาดที่ต้องการความสามารถนี้ และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

ดังนั้นการเข้าโครงการฝึกงานของบริษัทต่างๆจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ให้น้องได้เรียนรู้จักความสามารถของตัวเอง ความต้องการของตลาด และโอกาสต่างๆที่สามารถต่อยอดไปได้ 

เอาละ! มาดูกันว่า การฝึกงานนั้นจะช่วยอะไรน้องได้บ้าง..

1.โอกาสในการเรียนรู้ว่าสิ่งที่คิดมันใช่จริงไหม?

หนึ่งคำถามที่พี่มักจะเจอตลอดว่า “ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร หรือมีความสามารถด้านไหนจริงๆ” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบการศึกษาไทยที่ไม่เอื้อต่อการลองผิดลองถูกให้นักศึกษาได้เรียนรู้ว่า ชอบอะไรหรือถนัดอะไร ถ้าอยากรู้ต้องไปทดลองเองนอกเวลาเรียน 

นั่นเป็นการทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้นไปอีกสำหรับน้องๆ แต่ในทางเดียวกัน บริษัทจะคัดน้องๆได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยดูได้จากว่าน้องเอาเวลาส่วนใหญ่หลังเลิกเรียนไปพัฒนาหรือตามหาสิ่งที่ตัวเองถนัดหรือชอบไหม และได้นำสิ่งนั้นมายื่นในการสมัครกับบริษัทหรือเปล่า

เมื่อได้เข้ามาฝึกงานในโครงการแล้ว น้องจะได้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้รับโจทย์กับความกดดันในโลกของการทำงานจริง นี่จะเป็นบททดสอบที่ทำให้เห็นเลยว่า สิ่งที่เคยคิดว่าเราชอบ เราอยากเป็น จริงๆแล้วมันใช่ไหม เจอกับความกดดัน น้องสามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้จริงหรือเปล่า

ถ้าคำตอบคือ ไม่ ต้นทุนที่จะเสียไปก็น้อยมาก เพราะช่วงเวลาการฝึกงานแค่ 3 เดือน เมื่อเทียบกับการรู้ว่าไม่ชอบ ตอนสมัครเข้าไปทำงานจริง ต้องเสียเวลาสมัครงานใหม่ ไปสัมภาษณ์ และขาดรายได้ในระหว่างนั้น

ถ้าคำตอบคือ ใช่ พี่ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะน้องได้เจออาชีพของตัวเองได้เร็วกว่าเพื่อนๆมาก ถ้าคิดว่าใช่แล้ว อยากให้จับไว้ให้ดี ตั้งใจพัฒนาความสามารถของตัวเองอย่างน้อย 3-5 ปี ก่อนจะเปลี่ยนที่ทำงาน เพื่อฝึกวิธีคิดและนิสัยของเราให้เป็นคนอดทน มุ่งมั่น และมีวินัย (เพราะนิสัยนี้หาได้ยากในคนรุ่นใหม่ ถ้าน้องมี น้องจะโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสายงานไหน)

Company design class for Non-Designer team

2.ประตูสู่เส้นทางอาชีพที่จะได้มาง่ายกว่าคนอื่น

หลายๆบริษัทนิยมใช้วิธีการให้พนักงานบอกต่อคนรู้จักสมัครเข้ามาทำงาน เพราะได้เรียนรู้จากผลลัพธ์ว่า การรับสมัครคนเข้าทำงานผ่านการบอกต่อนั้น ได้ผลลัพธ์ดีกว่ามาก ที่ WJV ก็เช่นเดียวกัน เรารับพนักงานใหม่ที่รู้จักกับทีมอยู่แล้วหรือเป็นนักศึกษา Internship Program มาก่อนได้ง่ายกว่าคนที่สมัครเข้ามาเอง

เมื่อน้องๆได้เข้ามาฝึกงานในบริษัทต่างๆก็จะได้ทำงานร่วมกับพี่ๆทั้งในทีมเดียวกันหรือทีมอื่น ได้ไปปาร์ตี้ ได้มีเรื่องราวร่วมกัน หรือบางครั้งได้เจอกับสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง รู้แล้วว่าต้องการเป็นอาชีพอะไรผ่าน Feedback จากพี่หรือเพื่อนร่วมทีม ทำให้เข้าไปสู่ในสายงานที่ตัวเองรักได้จริงๆ

และในหลายๆครั้งน้องๆมักจะได้รับคำแนะนำจากพี่ๆในบริษัทที่ฝึกงานส่งต่อเข้าสู่บริษัทอื่นๆที่พี่คนนั้นมีคอนเนคชั่นอยู่ หรือได้รับข้อเสนอจากบริษัทที่ฝึกงานให้มาเข้าร่วมทีม

ในข้อนี้จะมีข้อแม้อยู่ว่า น้องต้องมี Performance การฝึกงานที่ดีเยี่ยม หรือเป็นคนขยันมากจนโดดเด่นจากเพื่อนร่วมทีม ไม่เช่นนั้นเส้นทางอาชีพจะไม่ต่างจากคนอื่น ต้องกลับไปเริ่มสมัครงานอื่นๆใหม่หลังเรียนจบ

ดังนั้นคำที่บอกว่าได้มาง่ายกว่าคนอื่น จริงๆแล้ว ก็คือง่ายกว่าในเรื่องของโอกาสเท่านั้น แต่การลงแรงเพื่อฝึกฝนจนโดดเด่นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและจำเป็นต้องทำ

Board Games Friyay

3.Connection ยิ่งรู้จักมาก ยิ่งโตเร็ว

ไม่ใช่ว่าทุกคนที่กำลังจะเรียนจบนั้นอยากทำงานกับบริษัททั้งหมด บ้างก็ต้องการเปิดธุรกิจของตัวเอง บางคนก็ต้องรับช่วงต่อจากธุรกิจที่บ้าน การฝึกงานสำหรับน้องกลุ่มนี้จึงมีเป้าหมายที่แตกต่างออกไป

จากประสบการณ์ที่ได้เจอมา น้องกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีไฟแรงที่สุด กระหายในการสร้างธุรกิจ แต่จะยังไม่เก่งเรื่องการจัดการกับความล้มเหลว เพราะเมื่อเวลาเราเพิ่งเริ่มต้นกับอะไรก็ตาม เราจะเห็นทุกอย่างเป็นโอกาสและความเป็นไปได้ มองภาพเห็นแต่ความสวยหรู แต่เมื่อได้ลองเริ่มต้นทำจริงๆ จะเห็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญจากความจริงที่ไม่ได้ออกมาตามที่คิดหรือหวังเอาไว้

การรับมือกับความล้มเหลวหรือไม่ได้ตามที่หวัง คือสิ่งที่น้องควรเรียนรู้ในระหว่างการฝึกงานให้มากที่สุด ขอรับผิดชอบโปรเจ็คเล็กๆ สร้างออกมาด้วยทรัพยากรจำกัด เจอกับผลลัพธ์หรือปัญหาที่ทำให้รู้สึกแย่มาก ลุกขึ้นสู้ และพยายามจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

เพื่อให้น้องได้เข้าใจภาพรวมของการทำธุรกิจจริงๆ มันไม่ได้สำเร็จชั่วข้ามคืน เป็นอะไรที่หนักหน่วง ต้องรับผิดชอบทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น และมองย้อนกลับมาว่า จริงๆแล้วเราพร้อมที่จะสร้างธุรกิจหลังเรียนจบหรือรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้านไหม 

ซึ่งในระหว่างการฝึกงานน้องจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถ้าสามารถขอโอกาสกับที่บริษัทได้ สิ่งต่อมาที่จะได้รับ คือ ความเชื่อใจจากบริษัทนั้นๆเมื่อเวลาน้องฝึกงานจบแล้ว ได้กลับมาเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง ยังสามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทนั้นในฐานะคู่ค้าได้

การมีพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่เชื่อใจกันตั้งแต่วันแรก เป็นโอกาสที่ดีมากๆในการสร้างการเติบโตและขยายฐานคู่ค้าในอนาคต และบริษัทพี่เองก็เติบโตมาจากวิธีการสร้างความเชื่อใจกับคู่ค้าทางธุรกิจแบบเดียวกันนี้

Songkran Activities

4.ขยายกรอบความคิดของเราให้กว้างขึ้น

“ทำไมพี่เค้าไม่ทำแบบนี้” “ผมคิดว่าพี่น่าจะทำแบบนี้” บางบริษัทมองว่า Feedback จากน้องฝึกงานเป็นความเห็นที่ไม่ควรสนใจ น้องเพิ่งมาฝึกงานจะไปรู้อะไร แต่ที่ WJV เรามองว่าทุก Feedback เป็นเหมือนของขวัญที่เมื่อเราเปิดออกมาแล้วจะเป็นสิ่งที่นำไปพัฒนาบริษัทให้เติบโตต่อได้

เราจึงต้องการจากน้องมากขึ้น ถ้ามี Feedback ต้องมาพร้อมกับ Delivery น้องต้องบอกด้วยว่า จะทำอะไรเพื่อช่วยสิ่งนั้นให้ดีขึ้น และสร้างมันออกมาเลย เพราะบริษัทจะเติบโตไม่ใช่จากแค่ความคิดเห็น แต่คือการสร้างให้เกิดขึ้นได้จริง และต้องมีผู้รับผิดชอบในสิ่งนั้นๆ

หลายๆครั้งพอให้น้องกลับไปสร้างจริงจาก Feedback ที่บอกพี่ๆว่าควรทำแบบนี้ กลับออกมาเป็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนที่มีอยู่แล้ว น้องก็จะเข้าใจทันทีว่า มันติดที่ตรงไหนและควรจะแก้ออกมาอย่างไร

มากกว่านั้นคือการเข้าใจในมุมมองของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น เมื่อเราได้ลองรับผิดชอบสิ่งนั้นๆด้วยตัวเอง จากที่มองสิ่งนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นที่เคยทำให้หงุดหงิดใจมาตลอด

การทำงานร่วมกับพี่ๆที่มีความ Professional มากกว่า จะช่วยให้เราเห็นว่า อะไรบ้างที่เค้าให้ความสำคัญ อะไรที่ควรละเลย และความแตกต่างของน้องกับทีมที่ทำงานจริงมีตรงส่วนไหนบ้าง

เมื่อเราเห็นและเข้าใจ จะนำมาพัฒนาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น และจะได้เรียนรู้ว่า ก่อนที่เราจะเริ่มตัดสินอะไรใคร ควรมองในมุมของเค้า บริบทของเค้าก่อนเสมอ

“Empathy”

Company Trip @Taiwan

บริษัทกำลังมองหาคนแบบไหนมาฝึกงาน?

คนคือส่วนที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจ ถ้าบริษัทมี 9 คน การรับเข้ามาเพิ่มอีก 1 คน จะเท่ากับ 10% ของบริษัททันที นั่นถือว่าเยอะมาก การรับน้องฝึกงานเข้ามาก็มีวิธีคิดแบบเดียวกัน เพราะพี่ๆต้องให้เวลากับน้อง การทุ่มเทเวลาถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งของบริษัท และมันจำเป็นอย่างมากที่ต้องเลือกสอนให้ถูกคน

บริษัทจะเลือกรับโดยดูจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น 

“สิ่งที่เคยทำมา” ที่ช่วยบ่งบอกถึง “ทักษะและความสามารถ” ในอนาคต 

น้องเคยเข้าร่วมโครงการอะไรมาบ้าง หรือได้ใช้เวลาในการฝึกฝนทักษะแบบไหน สิ่งนี้เป็นปัจจัยเริ่มต้นที่ช่วยให้บริษัทตัดผู้เข้าสมัครออกไปได้ง่ายขึ้น ถ้ามี 100 คนสมัครเข้ามา น้องที่ใช้เวลาไปกับการพัฒนาตัวเอง เข้าร่วมโครงการต่างๆมากมาย มี 30 คน จากใน 100 คน บริษัทก็อาจเป็นไปได้ว่า จะคัด 30 คนนี้เข้ารอบแรกทันที เพื่อนัดสัมภาษณ์ต่อไป

สิ่งที่เคยทำมาสำคัญมากสำหรับโปรไฟล์ของน้อง เพราะน้องยังไม่มีทักษะความสามารถที่บริษัทต้องการ จึงทำให้บริษัทเหลือข้อมูลไม่มากที่ใช้ในการตัดสินใจ และอีกส่วนหนึ่งคือ เรื่องของเกรด ที่ WJV มองเกรดเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ ถ้าน้องได้ใช้เวลากับการส่งงานและอ่านหนังสือ เกรดก็จะออกมาดี 

เมื่อนำเกรดมารวมกับกิจกรรมหรือโครงการต่างๆที่เข้าร่วม ก็จะพอบอกได้ว่า น้องเป็นคนที่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า

“ลักษณะนิสัย” 

สิ่งที่ต่อมาที่วัดได้ค่อนข้างยากมากจากการสัมภาษณ์เพียงไม่กี่ครั้ง นั่นคือลักษณะนิสัยของน้องนั่นเอง บริษัทจะพอมองได้คร่าวๆแต่การจะบอกว่าใครนิสัยอย่างไร ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง

ดังนั้นสิ่งที่บริษัททำคือการหาว่าใครมีนิสัยที่อาจะเป็น Toxic ได้ และพยายามตัดออกจากการสัมภาษณ์ให้เร็วที่สุด โดยในแต่ละบริษัทก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน สำหรับที่นี่เราใช้รูปแบบประมาณนี้

Self-centric VS Team-centric

ให้ความสำคัญกับตัวเองมาก่อนหรือให้ทีมมาก่อน ถ้าให้ความสำคัญกับตัวเองมาก่อนก็มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า จะทำสิ่งต่างๆเพียงเพื่อสร้างโปรไฟล์ของตัวเอง โดยไม่สนว่าทีมจะเป็นอย่างไร และยังมีความคิดเข้าข้างตัวเองว่า ได้ทำสิ่งต่างๆดีพอสำหรับคนอื่นแล้ว 

เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีคิดที่ทำเพื่อทีมก่อน ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ทีมจะทำงานง่ายขึ้นหรือยากขึ้น มองเป้าหมายของทีมร่วมกันเหมือนกับทีมกีฬา และมองว่าเราคือส่วนหนึ่งที่สำคัญกับทีม 

“วิธีคิด” 

วิธีคิดคือสิ่งที่ทำให้น้องดูแตกต่างจากคนอื่น เพราะด้วยวิธีคิดที่ดีจะส่งผลมาถึงการกระทำที่แสดงออกมาทั้งหมด นี่คือตัวตัดสินเลยตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นสมัครไปจนถึงการสมัครเข้ามาแล้วจะได้โอกาสอื่นๆต่อหรือไม่

วิธีคิดของน้องถ้าเป็นคนมองในระยะยาว ให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างสรรค์มากกว่าผลตอบแทนในระยะสั้น รู้ว่าเราสามารถพัฒนาไปสู่จุดไหนก็ได้แค่เราพยายามมากพอ และหมั่นวิเคราะห์ตัวเองอยู่เสมอจากการรับ Feedback จากคนรอบตัว ผ่านความถ่อมตน และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆนั้นต้องใช้เวลาในการสร้างผ่านความอดทน มุ่งมั่น และมีวินัย

จะช่วยให้เราพัฒนาไปได้รวดเร็วมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสายอาชีพไหนก็ตาม และพี่ๆรอบข้างจะเห็นได้ชัดจนต้องบอกต่อกันเองว่า น้องคนนี้ไม่ธรรมดา และควรมอบโอกาสต่างๆให้เพิ่มขึ้น

โอกาสดีๆมีอยู่รอบตัว เพียงแต่มันจะถูกมอบให้กับคนที่เหลาวิธีคิดให้ดีมากพอจนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเค้าให้เป็นไปตามความคิดได้ด้วย

สรุป

การฝึกงานคือสิ่งที่จะช่วยให้น้องเติบโตได้รวดเร็วกว่า ถ้าอยู่ในองค์กรที่เข้ากันกับลักษณะนิสัยและวิธีคิดของน้อง ดังนั้นจงเลือกให้ดีว่าควรเข้าบริษัทไหน และศึกษาให้มากพอว่าบริษัทนั้นต้องการคนแบบไหน เพื่อจะได้มั่นใจได้ว่า เราได้พัฒนาตัวเองมาอยู่ในจุดที่บริษัทนั้นๆต้องการตัวแล้ว

มากกว่านั้น การฝึกงานยังเป็นโอกาสไปสู่เส้นทางใหม่ๆ เพราะน้องจะได้รู้จักคนมากขึ้น ในสังคมที่แตกต่างจากที่เคย ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วชอบทำหรือไม่ชอบทำอะไร และได้รู้ว่าโลกของการทำงานจริงเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมตัวได้ถูกต้องเมื่อเวลามาถึง

ช่วงขายของ

น้องๆคนไหนที่กำลังมองหาที่ฝึกงานเจ๋งๆอยู่ สามารถเข้ามาดูรายละเอียดและสมัครเข้ามาได้เลยที่นี่ เราเปิดรับตลอดทั้งปี มีงานให้ทดลองสร้างจริง เจ็บจริง เรียนรู้จริง กับพี่ๆที่เชี่ยวชาญในวงการ

แล้วเจอกันครับ

Happy Growing

:)